วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การบ้านวันที่ 11 มิถุนายน

การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันส่วนประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล
1.ตัวส่งข้อมูล
2.ช่องทางการส่งสัญญาณ
3.ตัวรับข้อมูล
4.การสื่อสารข้อมูลในระดับเครือข่าย
มาตรฐานกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย คือ มาตรฐาน OSI (Open Systems Interconnection Model) ซึ่งทำให้ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและใช้งานในเครือข่ายได้จุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตรฐาน OSI นี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดแบ่งการดำเนินงานพื้นฐานของเครือข่ายและกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละชั้น
1.Application Layer = มีหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้โดยตรง
2.Presentation Layer = มีหน้าที่คอยรวบรวมข้อความ และแปลงรหัสหรือแปลงรูปแบบของข้อมูลให้เป็นรูปแบบการสื่อสารเดียวกัน
3.Session Layer = มีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โดยจะกำหนดจุดผู้รับและผู้ส่ง
4.Transport Layer = มีหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันข้อมูลให้ข้อมูลที่ส่งมานั้นไปถึงปลายทางจริง
5.Network Layer = มีหน้าที่กำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง
6.DataLink Layer = มีหน้าที่เหมือนผู้ตรวจสอบ คอยควบคุมความผิดพลาดในข้อมูล
7.Physical Layer = มีหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารสื่อระหว่างคอมพิวเตอร์
รูปแบบของการส่งสัญญาข้อมูล
1.แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One-way หรือ Simplex)
2.แบบกิ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Half-Duplex)
3.แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Full - Duplex
แบบมีสาย
เช่น สายโทรศัพท์ เคเบิลใยแก้วนำแสงสายโคแอคเชียล (Coaxial) สายแบบนี้จะประกอบด้วยตัวนำที่ใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกเส้นหนึ่งเป็นสายดิน ใยแก้วนำแสง (Optic Fiber) ทำจากแก้วหรือพลาสติกมีลักษณะเป็นเส้นบางๆ คล้าย เส้นใยแก้วจะทำตัวเป็นสื่อในการส่งแสงเลเซอร์ที่มีความเร็วในการส่งสัญญาณเท่ากับความเร็วของแสง
ข้อดีของใยแก้วนำแสดงคือ
1.ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้มาก
2.ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ต้องมีตัวขยายสัญญาณ
3.การดักสัญญาณทำได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอื่น
4.ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงและสามารถส่งได้มาก ขนาดของสายเล็กและน้ำหนักเบา
แบบไม่มีสาย
เช่น ไมโครเวฟ และดาวเทียมไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณไมโครเวฟเป็นคลื่นวิทยุเดินทางเป็นเส้นตรง อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับ-ส่งคือจานสัญญาณไม่ครเวฟ ซึ่งมักจะต้องติดตั้งในที่สูงและมักจะให้อยู่ห่างกันประมาณ 25-30 ไมล์ข้อดี ของการส่งสัญญาณด้วยระบบไมโครเวฟ ก็คือ สามารถส่งสัญญาณด้วยความถื่กว้างและการรบกวนจากภายนอกจะน้อยมากจนสัญญาณไม่ดี หรืออาจส่งสัญญาณไม่ได้ การส่งสัญญาณโดยใช้ระบบไมโครเวฟนี้จะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถจะติดตั้งสายเคเบิลได้ เช่น อยู่ในเขตป่าเขาดาวเทียม (Setellite)มีลักษณะการส่งสัญญา คล้ายไมโครเวฟ แต่ต่างกันตรงที่ ดาวเทียมจะมีสถานีรับส่งสัญญาณลอยอยู่ใอวกาศจึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนโค้งของผิวโลกก่อนส่งกลับมายังพื้นโลก
ข้อดี ของการสื่อสารผ่านดาวเทียมคือ ส่งข้อมูลได้มาก และมีความผิดพลาดน้อย
ข้อเสีย คือ อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม หรือถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
*****************************************
3.OSI Model OSI Model หรือ OSI Reference Model หรือชื่อเต็มว่า Open SystemsInterconnection Basic Reference Model เป็นมาตรฐานการอธิบายการติดต่อสื่อสารและโปรโตคอลของระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์กรที่ชื่อว่า International Organization for Standardization (ISO)
1.Application Layer = มีหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้โดยตรง
2.Presentation Layer = มีหน้าที่คอยรวบรวมข้อความ และแปลงรหัสหรือแปลงรูปแบบของข้อมูลให้เป็นรูปแบบการสื่อสารเดียวกัน 3.Session Layer = มีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โดยจะกำหนดจุดผู้รับและผู้ส่ง
4.Transport Layer = มีหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันข้อมูลให้ข้อมูลที่ส่งมานั้นไปถึงปลายทางจริงๆ
5.Network Layer = มีหน้าที่กำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง
6.DataLink Layer = มีหน้าที่เหมือนผู้ตรวจสอบ คอยควบคุมความผิดำพลาดในข้อมูล
7. Physical Layer = มีหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารสื่อระหว่างคอมพิวเตอร์
*******************************************
4.Basic’s IP AddressIP Addressความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IP Address ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อย พีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส คำว่าไอพีแอดเดรส จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บน อินเทอร์เน็ต ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัสประจำตัวของเครื่องที่ใช้ ตั้งแต่พีซี ของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลยทั่วโลก ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์
11101001
11000110
00000010
01110100
แต่เมื่อต้องการเรียกไอพีแอดเดรสจะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขไบนารี หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น11001011
10010111
00101110
00010011
203.
151.
46.
19
เมื่อตัวเลขไอพีแอดเดรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้ไอพีแอดเดรสเริ่มหายากขึ้นการกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรสและมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กร เรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส C
คลาส A กำหนดตัวเลขในฟิลด์แรกเพียงฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนด ดังนั้นจึงมีไอพีแอดเดรสในองค์กรเท่ากับ 256 x 256 x 256
คลาส B กำหนดตัวเลขให้ สองฟิลด์ ที่เหลืออีกสองฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นองค์กรจึงมีไอพีแอดเดรส ที่กำหนดได้ถึง 256 x 256 = 65536 แอดเดรส
คลาส C กำหนดตัวเลขให้สามฟิลด์ที่เหลือให้องค์กรกำหนดได้เพียงฟิลด์เดียว คือมีไอพีแอดเดรส 256
เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรส หากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส A ดังนั้นคลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B เช่น ไอพีแอดเดรสของกรมราชทัณฑ์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็น คลาส C
ลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งาน แต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวนหมายเลขที่ได้รับ เช่นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่ายสำหรับกรมราชทัณฑ์ที่มีไอพีคลาสซี จึงได้แบ่งและจัดสรรไอพีแอดเดรสให้กับหน่วยงานต่างๆได้อย่างพอเพียงไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรร จะได้รับการควบคุมการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่ง ทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรส ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้น มิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้ไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรส สำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสทุกแอดเดรสที่ใช้ใน กลุ่ม เช่น การเซตให้กับพีซีแต่ละเครื่องต้องไม่ซ้ำกัน รหัสไอพีแอดเดรสจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีค่าสำหรับองค์กรหากองค์กร เรามีไอพีแอดเดรสไม่พอ หรือขาดแคลนไอพีแอดเดรสจะทำอย่างไร เช่นมหาวิทยาลัย ก. เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แต่ได้คลาส C ซึ่งมีเพียง 256 แอดเดรสแต่มีผู้ที่จะใช้ไอพีแอดเดรสเป็นจำนวนมากสิ่งที่จะต้องทำคือ มหาวิทยาลัย ก. ยอมให้ภายนอกมองเห็นไอพีแอดเดรสจริงตามคลาส C นั้น ส่วนภายในมีการกำหนดไอพีแอดเดรสเอง โดยที่ไอพีแอดเดรสที่กำหนดจะต้องไม่ปล่อยออกภายนอก เพราะจะซ้ำผู้อื่นผู้ดูแลเครือข่ายต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่อง เป็นตัวแปลงระหว่างแอดเดรสท้องถิ่น กับแอดเดรสจริงที่จะติดต่อภายนอก วิธีการนี้เรียกว่า NAT = Network Address Translator ซึ่งแน่นอนก็ต้องสร้างความยุ่งยากเพิ่มเติม และทุกแพกเก็ต IP จะมีการแปลงแอดเดรสทุกครั้ง ทั้งขาเข้าและขาออก จึงทำให้ประสิทธิภาพการติดต่อย่อมลดลง ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไอพีแอดเดรส
รูปแบบของไอพีแอดเดรส
-มีขนาด 32 บิต
-ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน
-เลขเครือข่าย (network number)
-ลขโฮสต์ (host number)
-รูปแบบการเขียน “dotted decimal”
-แบ่งเป็น 4 ไบต์
-คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด (dot)
ความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์
-เราเตอร์ (Router)
- ใช้เลขเครือข่ายเลือกเส้นทางส่ง packet
-โฮสต์ที่มี netid ชุดเดียวกัน
-จะอยู่เครือข่ายเดียวกัน
-สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data
-link
-ไม่ต้องใช้เราเตอร์
-โฮสต์ที่มี netid ต่างกัน
-จะอยู่ต่างเครือข่าย
-เราเตอร์จะส่ง packet ข้ามเครือข่าย
การจัดคลาสเครือข่าย
Class A 0 network host host host
Class B 10 network network host host
Class C 110 network network network host
Class A = 0 – 126 Class B = 128 – 191Class C = 192 -223
Class D = 224 – 239 Class E = 240 – 255127 เป็น IP แบบพิเศษ
การหาจำนวน netid และ hostid
-ใช้สูตร 2n-n = จำนวนบิต
-network และ host ที่สงวนไว้
-network ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมด
-host ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมด
Class A
-จำนวนnetwork = 7 บิต
-จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 27 = 128 เครือข่าย
-จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 27-2 = 128 – 2= 126 เครือข่าย
-จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 24 บิต
-จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 224 = 16,777,216 โฮสต์
-จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 16,777,216 – 2= 16,777,214 โฮสต์
Class B
-จำนวน network = 14 บิต-จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 214 = 16,384 เครือข่าย
-จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 214-2 = 16,384 – 2= 16,382 เครือข่าย
-จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 16 บิต
- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 216 = 65,536 โฮสต์
-จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 65,536 – 2= 65,534 โฮสต์
Class C
- จำนวน network = 21 บิต
- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 221 = 2,097,152 เครือข่าย
-จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 221-2 = 2,097,152 – 2= 2,097,150 เครือข่าย
- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 8 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 28 = 256 โฮสต์
- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 28-2 = 256 – 2= 254 โฮสต์
Default subnet mask
Class Netmask Binary netmask ขนาด
A 255.0.0.0 11111111.00000000.00000000.00000000 8 บิต
B 255.255.0.0 11111111.11111111.00000000.00000000 16 บิต
C 255.255.255.0 11111111.11111111.11111111.00000000 24 บิต
ตัวอย่าง
-IP address 64.7.1.50 จะมี default netmask 255.0.0.0
-IP address 158.200.100.45 จะมี default netmask 255.255.0.0
-IP address 192.168.1.1 จะมี default netmask 255.255.255.0
ประเภทของ Subnet Mask
-Fixed Length Subnet Mask
-ใช้ค่า subnet mask เดียวกันตลอดทั้งเครือข่าย
-แต่ละ subnet จะมีจำนวนโฮสต์เท่าๆ กัน
-Variable Length Subnet Mask
- ใช้ค่า subnet mask ต่างกันในแต่เครือข่าย
-แต่ละ subnet จะมีจำนวนโฮสต์ไม่เท่ากัน
การแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet mask)
-เป็นเลขขนาด 32 บิต
- บิตที่ตรงเลขเครือข่าย (netid) มีค่าเท่ากับ “1”
-บิตที่ตรงเลขโฮสต์ (hostid) มีค่าเท่ากับ “0”การเลือกเส้นทางใน subnet mask
-ตรวจสอบว่าเป็น IP ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันหรือไม่
-ใช้เทคนิคการ “AND” บิต ระหว่าง IP กับ subnet mask
-ถ้า subnet address มีค่าเท่ากัน
- อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
-ส่ง packet โดยใช้ ethernet adddress
- ถ้า subnet address มีค่าต่างกัน
-อยู่ต่างเครือข่าย
-ส่ง packet ไปให้ router เพื่อส่งข้อมูลต่อไป
แปลง IP
209.123.226.168
(11010001.01111011.11100010.10101000)
198.60.70.81
(11000110.00111100.01000110.01010001)CIDR
/22
11111111.11111111.11111100.00000000
Subnet Mask = 255.255.252.0
Host??= 2^10 = 1024-2 Host
= 1022 Host
/18
11111111.11111111.11000000.00000000
Subnet Mask = 255.255.192.0
Host??= 2^14 = 16384-2Host
= 16382 Host
/27
11111111.11111111.11111111.11100000
Subnet Mask = 255.255.255.244
Host??= 2^5 = 32-2Host
= 30 Host
************************************
ข้อสอบIP
1.ขนาดของ IP กี่บิต
ก. 8
ข.16
ค.32
ง.128
เฉลย ค.32
2.รูปแบบการเขียน “dotted decimal”ตรงกับข้อใด
ก.แบ่งเป็น 2 ไบต์ คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด
ข.แบ่งเป็น 3 ไบต์ คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด
ค.แบ่งเป็น 4 ไบต์ คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด
ง.แบ่งเป็น 5 ไบต์ คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด
เฉลย ค.แบ่งเป็น 4 ไบต์ คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด
3.29.143.26.68 มีค่าตรงกับข้อใด
ก.00011101.10001111.00011010.01000100
ข.11111111.11111111.11111111.11100000
ค.11010001.01111011.11100010.10101000
ง.11000110.00111100.01000110.01010001
เฉลย ก.00011101.10001111.00011010.01000100
4.11000110.00111100.01000110.01010001 มีค่า IP คือ
ก.209.123.226.168
ข.56.23.89.58
ค.198.60.70.81
ง.199.56.23.71
เฉลยค. 198.60.70.81
5. IP address 64.7.1.50 จะมี default netmask
ก. 255.0.0.0
ข.255.255.255.0
ค.255.225.252.0
ง.255.0.255.255
เฉลย ก. 255.0.0.0
******************************************
ข้อสอบ CIDR
1.Subnet Mask และจำนวน Host มีค่าเท่ากันหรื่อไม่
ก.เท่ากัน
ข.ไม่เท่ากัน
ค.ไม่มีค่าแน่นอน
ง.ผิดทุกข้อ
เฉลย ข.ไม่เท่ากัน
2.Subnet Mask(11111111.11111111.11111100.00000000)ตรงกับข้อใด
ก. 20
ข.21
ค. 22
ง. 23
เฉลย ค. 22
3.Subnet Mask 15 ตรงกับข้อใด
ก.11111111.11111110.00000000.00000000
ข.11111111.11111111.11111111.11100000
ค.11111111.11111111.11000000.00000000
ง.11010001.01111011.11100010.10101000
เฉลย ก.11111111.11111110.00000000.00000000
4.Subnet Mask = 255.255.192.0 มีค่าเท่ากับกี่ Host
ก.16380
ข.16381
ค.16382
ง.16383
เฉลย ค.16382
5.11111111.11111111.11111111.11100000 มีค่าตรงกับข้อใด
ก. 26
ข.27
ค.28
ง.29
เฉลย ค.28

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เรียนวันที่ 11 มิถูนายน

เรียนวันที่ 11 มิถุนายน
/20 ??

11111111 . 11111111 . 11110000 . 00000000
/20 (255+255+240+0)

Subnet mask 255.255.240.0

Host 2^12 = 4096-2 = 4094

แปลง IT เป็น Binary

แปลงจำนวนด้านล่างให้เป็น binary

202.29.57.2

Binary
11001010 00011101 00111001 00000010

Class C

เพื่อน

From:kimsath sath (kimsathsath@yahoo.com)http://kimsath.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:Gus m (guszaa_m@hotmail.com)http://guszaa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายจำนงค์ ศรีมาศ (srimas2007@hotmail.com)http://jumnong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชยาพงษ์ วังตะเคน (mo.04@hotmail.com)http://thekop-momo.blogspot.com^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sulak Phonboon (sulak_laky@hotmail.com)http://sulak-noy.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:khamsan khampang (khampang3@hotmail.com)http://khampang.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชาตรี แก้วมณี (chatree_05@thaimail.com)http://chatree-ton.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:มยุลี เสมศรี (mayulee8787@hotmail.com)http://mayulee8787.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาว จันทร์ กฤษวี (janjun1@hotmail.com)http://janjun.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาวประภาศิริ สุทธิหนู(nemo_yung@hotmail.com)http://lylulnlgl.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sam an leakmuny (leakmuny@yahoo.com)http://leakmuny-sam.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ณัชพร ไชยมูล (clash_oud@hotmail.com)http://khukhan-bantim.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:วาฤดี สัมนา (waruedee_49@hotmail.com)http://waruedee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:warawood wisetmuen (nicnicnic_02@hotmail.com)http://warawood.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:r y (overnarn@hotmail.com)http://tcomtoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สุพรรษา ท่วาที (supansa_56@hotmail.com)http://puy-supansa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:อรอุมา พละศักดิ์ (tep_ratree@hotmail.com)http://tepratree.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สายรุ่ง พงษ์วัน (sayrung_@hotmail.com)http://koraikoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ศิริกัญญา ศิริญาณ (tumkatong@gmail.com)http://tumkatong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:พรพรรณ สังขาว (aaa.37@hotmail.com)http://oake-pornpan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายเทิดศักดิ์ บุญรินทร์ (ton_therdsak783@hotmail.com)http://tonstaff.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ (nipoon_karn@hotmail.com)http://karnline.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ทัสนีย์ ประสาร (tatsanee_1234@thaimail.com)http://ningza-tatsanee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:wasan dujda (nong2445572@hotmail.com)http://newcastle-wasan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ์ (kan-49@hotmail.com)http://teerapon123.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sophang sophaly (phangsophaly@hotmail.com)http://sophaly-phang.blogspot.com/

ข้อสอบ OSI Model

ข้อสอบ OSI Model

1. OSI Model แบ่ง ตามลักษณะออกเป็นกี่กลุ่ม
ก. 2 กลุ่ม
ข. 3 กลุ่ม
ค. 4 กลุ่ม
ง. 5 กลุ่ม
http://www.udonoa.com/www-tam/Knowledge/OSImodel.html
2. Lower Layer ของ OSI Model จะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูลซึ่งอาจจะพัฒนาอะไรได้บ้าง
ก. Software
ข. Hardware
ค. Software และ Hardware
ง. Data
http://support.mof.go.th/lan/osi.htm
3. Data Link Layer ทำหน้าที่อะไร
ก. ทำหน้าที่ส่งและรับข้อมูลโดยตรงกับผู้ใช้
ข. ทำหน้าที่ติดต่อข้ามเนตเวิร์คแทนชั้นอื่นๆที่อยู่ข้างบน
ค. ทำหน้าที่จัดเตรียมข้อมูลที่จะส่งผ่านไปยังสื่อตัวกลาง
ง. ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร
http://th.wikipedia.org/wiki/OSI_Model
4. Application Layer ทำหน้าที่อะไร
ก. ทำหน้าที่ ส่งและรับข้อมูลโดยตรงกับผู้ใช้
ข. ทำหน้าที่ติดต่อข้ามเน็ตเวิร์คแทนชั้นอื่นๆที่อยู่ข้างบน
ค. ทำหน้าที่จัดเตรียมข้อมูลที่จะส่งผ่านไปยังสื่อตัวกลาง
ง. ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร
http://th.wikipedia.org/wiki/OSI_Model
5. ข้อใดไม่ใช่หลักของการออกแบบ Layer
ก. แต่ละเลเยอร์จะมีการกำหนดการทำงานอย่างละเอียดโดยมีการทำงานเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน
ข. ฟังก์ชันภายในเลเยอร์จะพยายามมุ่งไปสู่ข้อกำหนดมาตรฐาน (standard protocol)
ค. ขอบเขตของเลเยอร์จะถูกเลือกและจำกัดให้มีปริมาณการเชื่อมต่อระหว่างเลเยร์ให้น้อยที่สุด
ง. มีการสลับเส้นทางของข้อมูลเลเยร์จากต้นทางไปยังปลายทาง
http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Knowledge/Networks%20Technology/network6.htm
เฉลย
1 ก
2 ค
3 ค
4 ก
5 ง